คลิป Thara Thai massage กายบริหาร แก้อาการผายลมในช่องคลอด ปวดประจำเดือน ยกมดลูก


ขอขอบคุณ  : youtube.com และ Thara Thai massage


คลิป โยคะเพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือน



เราลองทำตอนปวดท้องประจำเดือนแล้ว รู้สึกดีขึ้นมากเลย ทำบ่อยๆ จะทำให้มดลูกเรากระชับ และไม่ปวดในเดือนต่อไป ลองดูนะคะ เพราะเราจะปวดมากจนทนไม่ไหว ไม่อยากใช้ยา ลองฝึกกันดูนะ

ขอขอบคุณ : youtube.com และ  Yogea ArtFlow Yoga

วิธีดูแลแบตเตอรี่รถยนต์

-การติดตั้งแบตเตอรี่ใหม่

บางครั้ง หากมีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์เพิ่ม แบตเตอรี่ก็ควรถูกปรับเปลี่ยนความจุให้มีมากขึ้นด้วย
ซึ่งหากมีการติดตั้งแบตเตอรี่ใหม่ในยานพาหนะ ควรปฏิบัติดังนี้

1. สังเกตว่าแบตเตอรี่ใหม่ ซึ่งจะใช้ติดรถ อยู่ในสภาพไฟเต็ม

2. ควรบันทึกวันที่เริ่มใช้แบตเตอรี่ใหม่ ไว้เพื่อการตรวจสอบสภาพเป็นช่วงๆ

3. ยึดแบตเตอรี่และแท่นวางแบตเตอรี่ให้แน่น ไม่เคลื่อนไหว

4. ถ้าแบตเตอรี่มีท่อยาวระบายอากาศ อย่าให้ท่อระบายอากาศถูกกดทับเพราะอาจทำให้แบตเตอรี่ระเบิดได้

5. ใส่ขั้วไฟก่อน (อาจเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบก็แล้วแต่ชนิดของรถ) ก่อนใส่ ควรขยายขั้วสวมให้โตกว่าขั้วแบตเตอรี่เล็กน้อย ห้ามตอกขั้วต่ออัดลงไปเพราะจะทำให้ขั้วแบตเตอรี่ทรุดตัวแบตเตอรี่อาจเสียหายได้

6. เมื่อต่อขั้วเรียบร้อย ทาขั้วด้วยจารบี หรือวาสลิน

7. ต่อขั้วดินเป็นอันดับสุดท้าย

จากนั้นก่อนสตาร์ทเครื่อง ก็ควรตรวจดูความถูกต้องในการต่อขั้วอีกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของรถยนต์และตัวคุณเองครับ

-การต่อพ่วงแบตเตอรี่ฉุกเฉิน

บางครั้งแบตเตอรี่รถยนต์ของเรา หรือรถยนต์คันอื่นๆ เกิดการไฟหมด อาจจะต้องมีการต่อพ่วงกัน เราจึงจำเป็นจะต้องเรียนรู้การต่อพ่วงอย่างถูกวิธีไว้บ้าง เริ่มจากจอดรถใกล้กันแต่อย่าให้สัมผัสกัน ใช้สายพ่วงที่ใหญ่ แต่ไม่ยาวเกินไปจากนั้นปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้

1. ต่อขั้วบวก (+) ของสายพ่วงเส้นที่ 1 เข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ ลูกที่ไฟหมด

2. ต่อขั้วอีกข้างหนึ่งของสายพ่วงเส้นที่ 1 เข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ลูกที่ดี

3. ต่อขั้วลบ (-) ของสายพ่วงเส้นที่ 2 เข้ากับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่ลูกที่ดี

4. ต่อขั้วอีกข้างหนึ่งของสายพ่วงเส้นที่ 2 เข้ากับโครงรถคันทีแบตเตอรี่ไฟหมด

5. เมื่อสตาร์ทรถยนต์คันที่ไฟหมด ติดแล้ว จึงค่อยถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ทวนตามลำดับที่กล่าวมาข้างต้น

-การเก็บแบตเตอรีอย่างถูกวิธี


การที่คุณจอดรถไว้โดยไม่ได้ใช้งานเกิน 2 สัปดาห์ จะมีผลกับแบตเตอรี่ของคุณแน่นอน เพราะแบตเตอรี่จะมีการคายประจุไฟออกมาตลอดเวลา ถ้าไม่มีการชาร์จไฟเข้า แผ่นธาตุภายในจะเสื่อมสภาพ ไม่สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้ควรเก็บรักษาแบตเตอรี่ เพื่อให้สามารถนำแบตเตอรี่กลับไปใช้งานได้อีก ตามวิธีดังนี้ คือ


- การเก็บแบตเตอรี่แบบแห้ง (Dry Storage)

เป็นการเก็บแบตเตอรี่ไว้โดยไม่มีสารละลายอยู่ในแบตเตอรี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเก็บแบตเตอรี่ ที่ผลิตออกมาจากโรงงานใหม่ๆ เมื่อต้องการจะใช้งานก็จะนำแบตเตอรี่ไปเติมสารละลายและประจุไฟฟ้าให้เต็ม แต่สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วมีสารละลายอยู่ภายในแบตเตอรี่ การเก็บให้ถอดแบตเตอรี่ออกจากรถ นำไปชาร์จไฟให้เต็มแล้วเทน้ำยาทิ้ง ใช้น้ำกลั่นล้างแล้วเทคว่ำให้แห้ง
เมื่อต้องการจะใช้แบตเตอรี่ก็นำไปเติมน้ำยาและชาร์จไฟใหม่


- การเก็บแบตเตอรี่แบบเปียก (Wet Storage)


แบตเตอรี่ถึงแม้จะชาร์จไฟเต็มแล้ว ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะสามารถคายประจุไฟออกมาเอง ดังนั้นการเก็บแบตเตอรี่ในขณะที่แบตเตอรี่ มีน้ำกรดอยู่ภายใน ควรนำไปประจุไฟทุกๆ 15 วัน การเก็บแบตเตอรี่แบบนี้ถือว่าเป็นการจัดเก็บแบบชั่วคราว เพื่อลดปัญหาแบตเตอรี่ เสื่อมสภาพ อย่าลืมเก็บแบตเตอรี่ให้ถูกวิธีนะครับ


-เปลี่ยนแบตลูกใหญ่ แอมป์สูงดีไหม

หากแบตเตอรี่หมดสภาพ หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ และแบตเตอรี่ลูกเดิมมีแอมป์ไม่สูงนัก ก็ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ลูกใหญ่ขึ้น แอมป์สูงขึ้น ด้วยราคาที่สูงกว่ากันเพียงไม่กี่ร้อยบาท แต่จะทำให้รถยนต์ของคุณมีกำลังไฟฟ้าสำรองมากขึ้น กำลังไฟฟ้าแรงขึ้น และทำให้ไดชาร์จทำงานหนักน้อยลง ทำให้ไม่พังง่าย ฉะนั้นเมื่อแบตเตอรี่หมดสภาพหรือ มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นควรคำนึงถึงคำถามที่ว่า "เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหญ่ แอมป์สูงดีไหม" นี้ด้วย เพราะเสียเงินเพิ่มไม่กี่ร้อยบาท แต่ได้สิ่งที่คุ้มค่ากว่ากลับคืนมา


-ทำไมแบตหมด

หาก ไดชาร์จปกติ แบตเตอรี่ไม่เสื่อม และไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจนกินกระแสไฟฟ้ามากเกินไปแบตเตอรี่ จะไม่มีการหมด นอกจากในเครื่องยนต์รอบเดินเบาไดชาร์จผลิตไฟฟ้าได้น้อยกว่าการใช้อยู่มาก และจอดนิ่งนานหลายชั่วโมง แบตเตอรี่อาจหมดได้ ซึ่งไม่ค่อยพบปัญหานี้ในการใช้งานบนสภาพจราจรปกติ เพราะในการใช้รถยนต์ เมื่อมีการใช้ไฟฟ้าจากหลายอุปกรณ์ เช่น เครื่องยนต์ แอร์ เครื่องเสียง ไฟส่องสว่าง ฯลฯ ก็จะมีไดชาร์จคอยส่งไฟฟ้าที่เหลือจากการใช้คืนกลับเข้าไปสู่แบตเตอรี่อยู่ ตลอด หากแบตเตอรี่หมด เพราะไดชาร์จผิดปกติ คือผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอ แต่แบตเตอรี่ ยังไม่หมดสภาพจะมีการดึงไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ไปใช้เรื่อยๆ ก็แค่ซ่อมแซมระบบไดชาร์จให้เป็นปกติ ใช้เครื่องประจุแบตเตอรี่ให้เต็ม หรือทำให้เครื่องยนต์ติดแล้วให้ไดชาร์จประจุไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ก็สามารถ ใช้งานได้ตามปกติ


หลังจอดรถยนต์ไว้ ถ้าแบตเตอรี่หมดหรือกระแสไฟฟ้าอ่อนลงมากจนไดสตาร์ตหมุนเครื่องยนต์ไม่ไหว ขณะที่ระบบไดชาร์จและเครื่องยนต์ปกติ แสดงว่าแบตเตอรี่หมดสภาพ ก็ถึงคราวจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่กันแล้วคราวนี้

การดูแล รักษาแบตเตอรี่ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าของรถยนต์ให้ใช้งานได้นานนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณตรวจเช็กระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ทุกสัปดาห์ โดยเติมน้ำกลั่นให้ปริมาณได้ระดับอยู่เสมอ หากถ้าแบตเตอรี่ของคุณเป็นแบบที่มีผิวด้านข้างใส ก็สามารถส่องดูจากด้านข้างแบตเตอรี่ได้ แต่ถ้าแบตเตอรี่เป็นแบบผิวทึบ หรือมองจากทางด้านข้างของแบตเตอรี่ไม่สะดวก ก็ให้เติมน้ำกลั่นให้ท่วมแถบแผ่นธาตุไว้ประมาณ 1 เซนติเมตร ไม่ควรใช้น้ำกรองหรือใช้น้ำที่ไม่ใช่น้ำกลั่นเติมแบตเตอรี่โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสั้นลง


-ขั้นตอนการทำความสะอาดแบตเตอรี่

ฟอง ก๊าชที่เกิดจากแบตเตอรี่จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดขี้เกลือที่ขั้ว แบตเตอรี่และสายไฟได้ แต่วิธีทำความสะอาดแบตเตอรี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

ขั้นแรก ใช้แปรงลวดปัดทำความสะอาดด้านบนของแบตเตอรี่ เพื่อขจัดคราบสกปรกในเบื้องต้นก่อน

ขั้นที่สอง ใช้แปรงลวดจุ่มโซเดี่ยมคาร์บอเนต หรือโซดาผง ผสมน้ำ ปัดเพื่อทำความสะอาดแบตเตอรี่

ขั้นที่สาม ล้างโซเดี่ยมคาร์บอเนตออกด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ลูกยางดูดน้ำออกให้หมด

ขั้นที่สี่ ถอดสายแบตเตอรี่ออก (ถอดขั้วลบออกก่อน และเมื่อประกอบกลับคืน ให้ใส่ขั้วบวกก่อน เพื่อป้องกันการเกิดประกายไฟ) จากนั้นเช็ดเพื่อเอาคราบน้ำมันและจาระบีออก


-แบตเตอรี่หมดเพราะเปิดไฟหน้าทิ้งไว้

การ เปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้หลังดับเครื่องยนต์ ไม่มีผลกับเครื่องยนต์แต่อย่างใด แต่แบตเตอรี่จะถูกดึงกระแสไฟฟ้าไปใช้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการประจุไฟเข้าแบตเตอรี่จากไดชาร์จเหมือนกับช่วงเวลาที่ติดเครื่อง ยนต์ ทำให้กระแสไฟฟ้าหมดหรือเหลือน้อยจนไม่เพียงพอสำหรับการสตาร์ตเครื่องยนต์

หากรู้ตัวว่าลืมปิดไฟหน้า เมื่อจอดรถยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานาน ไม่ควรรีบสตาร์ตเครื่องยนต์ทันที ควรปิดไฟแล้วรอให้แบตเตอรี่เก็บประจุ ประมาณ 5-10 นาที แล้วจึงทดลองสตาร์ต ถ้าสตาร์ต 2-3 ครั้งแล้วเครื่องยนต์ยังไม่ติด ไม่ควรพยายามสตาร์ตต่อ ที่สำคัญ ไม่ควรบิดกุญแจค้างไว้นานเกินไปในช่วงที่สตาร์ต เพราะอาจ ทำให้ไดสตาร์ตเสียหายได้


-ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับแบตเตอรี่


แบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์ประกอบรถยนต์ที่สำคัญ ทำหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้าสำรอง เมื่อเครื่องยนต์ถูกใช้งาน จะมีการประจุไฟฟ้าเข้า-ออก หมุนเวียนสู่แบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลา โดยมีคัตเอาต์ทำหน้าที่ตัดประจุเมื่อไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่ และต่อการประจุเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่พร่องลง ปกติแล้ว แบตเตอรี่โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2.5 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ซึ่งในปัจจุบันมีแบตเตอรี่แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย และแบตเตอรี่แบบแห้ง ซึ่งสะดวกต่อการดูแล มีความทนทาน และมีอายุการใช้งานมากกว่าแบบทั่วไป 3-6 เท่า หรือ 5-10 ปี แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน


-เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนแบตใหม่

1. ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย

2. ไฟหน้าไม่สว่าง

3. ตอนเช้าสตาร์ทติดยาก

4. ใช้งานมานานกว่า 1.5 - 2 ปี

5. กระจกไฟฟ้าอืด


-ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีกำลังไฟมากขึ้น


ถ้ารถยนต์ของคุณต้องใช้กำลังไฟ เพื่อทำหน้าที่หลายอย่าง

1. เครื่องมือสื่อสาร

2. เปิดแอร์เป็นเวลานานๆ

3. ใช้รถทั้งกลางวัน-กลางคืน

4. มีการเพิ่มปริมาณไฟส่องสว่าง และติดเครื่องเสียงเพิ่ม

5. ใช้รถน้อย หรือใช้รถเฉพาะวันหยุด

6. ใช้รถเฉพาะกลางคืนและเปิดไฟส่องสว่างเป็นเวลานานๆ


ข้อควรจำ

1. หมั่นตรวจดูระดับน้ำกลั่นอย่าให้ต่ำกว่าจุด LOWER LEVEL

2. ขันขั้วแบตเตอรี่ให้แน่น เพื่อให้กระแสไฟเดินสะดวก

3. ทำความสะอาดคราบสกปรก ที่ติดตามขั้วแบตเตอรี่ และพื้นผิวให้สะอาด 


แหล่งที่มา http://www.navthai.com


ล้างพิษใน 1 วัน ง่ายๆ ด้วยตัวเอง


คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำ ก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย

หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 แคลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อ จากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มี เนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่างเช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อนเพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป

วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว 

อุปกรณ์ 

1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด 

2. มะนาว 4 ลูก 

3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

วิธีทำ 

1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน

2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ

3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้

กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง

แหล่งที่มา http://health.kapook.com

8 วิธีทำความสะอาดบ้านให้ติดเป็นนิสัย

หลังจากกลับบ้าน ก็รีบถอดรองเท้า แล้วโยนกระเป๋าไว้บนโซฟา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน ไม่มีวันไหนเลยที่คุณลุกขึ้นมาทำความสะอาด แต่ก็บ่นว่าบ้านสกปรกทุกวัน คุณเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่าคะ? ถ้าคุณยังมีกิจวัตรประจำวันแบบนี้อยู่ล่ะก็ บ้านของคุณไม่มีทางสะอาดขึ้นอย่างแน่นอน ต่อให้คุณจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด สุดท้ายก็เจอกับสภาพของรก ๆ อยู่ดี ฉะนั้นเริ่มจากตัวคุณก่อนดีที่สุด สร้างนิสัยรักความสะอาดเริ่มจากของใกล้ตัว เช่นของใช้ในบ้านก่อน แล้วค่อยจัดแจงดูแลทำความสะอาดบ้านของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความสะอาดที่กลายเป็นนิสัยยังไงล่ะ

1. วางรองเท้าให้เป็นระเบียบ

ก่อนเข้าบ้านเสียเวลาเอารองเท้าไปวางบนชั้นสักนิด ก็ทำให้บ้านดูเป็นระเบียบขึ้นเยอะ อาจจะแยกชั้น แยกตู้ตามจำนวนรองเท้าของสมาชิกในบ้าน และในตู้วางรองเท้าควรมีอุปกรณ์ทำความสะอาดรองเท้าด้วย ทำให้รองเท้าสะอาดก่อนออกจากบ้าน เพิ่มความมั่นใจให้คุณมากขึ้น ส่วนบริเวณประตู ควรนำพรมเช็ดเท้ามาวาง เพื่อทำความสะอาดฝุ่นที่ติดมากับเท้า และเพื่อป้องกันฝุ่นจากภายนอกด้วย



2. จัดการฝุ่นในบ้านด้วยเครื่องดูดฝุ่น

การใช้เครื่องดูดฝุ่นเป็นวิธีกำจัดฝุ่นที่ดีกว่าการใช้ไม้กวาด เอาไว้สำหรับดูดในบริเวณที่ไม้กวาดไม่สามารถจัดการได้ เช่น พรม หรือตามซอกต่าง ๆ ของบ้าน เพราะเครื่องดูดฝุ่นมีสามารถเปลี่ยนหัวปรับ ให้ทำความสะอาดในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ จะเป็นฝุ่น ขนสัตว์ เศษแก้ว ก็ไม่หวั่น แถมยังใช้เวลาน้อยกว่าการกวาดบ้านอีกด้วย

3. เช็ดน้ำในห้องน้ำให้แห้ง

หลังการอาบน้ำหากมีสบู่หรือแชมพูหยดลงบนพื้นควรทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วเช็ดฝ้าบนกำแพง และไล่น้ำบนพื้นออกไปให้หมด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในห้องน้ำในการอาบน้ำครั้งต่อไป โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องน้ำ ควรมีชั้นวางเป็นที่เก็บอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำของคุณ 

4. รีบเช็ดอ่างล้างหน้าหลังใช้

หลังจากที่คุณแปรงฟัน หรือล้างหน้าเสร็จแล้ว ควรเช็ดอ่างล้างหน้าสะอาด เพราะถ้าปล่อยให้อ่างแห้งเอง ก็จะมีคราบยาสีฟันหรือโฟมล้างหน้าของคุณเหลือเอาไว้ควรใช้น้ำส้มสายชูประมาณ 1 ถ้วยเททิ้งไว้ 1 คืน แล้วค่อยมาราดน้ำทำความสะอาดอีกครั้งในตอนเช้า จะช่วยขจัดคราบต่าง ๆ ออกจากอ่างล้างหน้าได้ดี นอกจากนี้หากคุณแปรงผมใกล้อ่างล้างหน้า ก็อย่าลืมเก็บเศษผมไปทิ้งด้วย เพราะเศษผมเป็นสาเหตุสำคัญ อาจทำให้ท่อน้ำอุดตันได้

5. กำจัดของเก่าในตู้เย็น

ก่อนที่จะใส่ของใหม่เข้าไป นำของที่หมดอายุหรือของที่ไม่รับประทานแล้วออกมาทิ้งก่อน จากนั้นเช็ดด้วยน้ำยาทำความสะอาด หรือผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ โดยเช็ดให้ทั่วบริเวณ แล้วค่อยใส่ของใหม่เข้าไป นอกจากจะได้พื้นที่สำหรับวางของเพิ่มแล้ว ยังช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย

6. ทำความสะอาดเตาแก๊ส

ในกรณีที่น้ำในหม้อที่คุณทำอาหารล้นออกมาจนเตาแก๊สเลอะเทอะมีคาบสกปรก หรือมีน้ำมันกระเด็น หลังจากที่คุณปรุงอาหารเสร็จแล้ว ก็ควรทำความสะอาดทันที เพราะคราบเหล่านี้จะเกาะติดแน่น ถ้าหากทิ้งไว้นานจะทำความสะอาดยากกว่าส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะคราบน้ำมัน โดยเลือกใช้น้ำยาขจัดคราบเพื่อทำความสะอาด และอย่าลืมใส่ถุงมือด้วย เพราะน้ำยาเหล่านี้มีฤทธิ์กัดกร่อน อาจะเป็นอันตรายกับผิวหนังของคุณได้

7. กำจัดกลิ่นในครัว

กลิ่นอาหารที่แม้จะหอมขนาดไหน แต่ถ้ารวมกับกลิ่นควัน หรือมีหลาย ๆ กลิ่นรวมกัน ก็ทำให้ปวดหัวได้นะ วิธีกำจัดกลิ่นง่าย ๆ คือการผสมโซดาไฟกับน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย และน้ำมะนาวครึ่งซีก แล้วฉีดรอบ ๆ ห้องทิ้งไว้ 10 - 20 นาที กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็จะหายไปทันที เป็นการแก้ปัญหาในครัวด้วยอุปกรณ์ในครัวของแท้เลยล่ะ

8. เก็บของให้เป็นที่

หยิบมาจากตรงไหน ใช้เสร็จแล้วก็นำกลับไปวางไว้ที่เดิม ไม่ต้องเสียเวลาจัดของใหม่ ทำให้บ้านสะอาดขึ้นเป็นกอง เช่น อุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องน้ำและห้องครัว ใส่กล่องหรือใส่ถังรวมเอาไว้ และวางไว้บริเวณใต้อ่างล้านจาน หรืออ่างล้างหน้า คราวนี้จะหยิบใช้ก็สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาหาของอีกด้วย

ลองหมั่นใช้วิธีการเหล่านี้ทำความสะอาดบ้านของคุณอยู่เป็นประจำให้ติดเป็นนิสัย จะทำให้คุณไม่อยากเห็นบ้านกลับมารกอีกเลยล่ะ แต่หลังจากที่คุณทำเป็นนิสัยแล้ว ก็อย่าลืมแบ่งปันคนในบ้านด้วย บ้านจะสะอาดได้เพราะคนในบ้านช่วยกันดูแล ถ้าคนนึงทำความสะอาดอีกคนทำสกปรก บ้านก็คงไม่สะอาดสักที มาทำให้บ้านเราสะอาดน่าอยู่ด้วยการช่วยกันคนละไม้ละมือดีกว่าเนอะ


แหล่งที่มา http://home.kapook.com