คลิป Thara Thai massage กายบริหาร แก้อาการผายลมในช่องคลอด ปวดประจำเดือน ยกมดลูก


ขอขอบคุณ  : youtube.com และ Thara Thai massage


คลิป โยคะเพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือน



เราลองทำตอนปวดท้องประจำเดือนแล้ว รู้สึกดีขึ้นมากเลย ทำบ่อยๆ จะทำให้มดลูกเรากระชับ และไม่ปวดในเดือนต่อไป ลองดูนะคะ เพราะเราจะปวดมากจนทนไม่ไหว ไม่อยากใช้ยา ลองฝึกกันดูนะ

ขอขอบคุณ : youtube.com และ  Yogea ArtFlow Yoga

วิธีดูแลแบตเตอรี่รถยนต์

-การติดตั้งแบตเตอรี่ใหม่

บางครั้ง หากมีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์เพิ่ม แบตเตอรี่ก็ควรถูกปรับเปลี่ยนความจุให้มีมากขึ้นด้วย
ซึ่งหากมีการติดตั้งแบตเตอรี่ใหม่ในยานพาหนะ ควรปฏิบัติดังนี้

1. สังเกตว่าแบตเตอรี่ใหม่ ซึ่งจะใช้ติดรถ อยู่ในสภาพไฟเต็ม

2. ควรบันทึกวันที่เริ่มใช้แบตเตอรี่ใหม่ ไว้เพื่อการตรวจสอบสภาพเป็นช่วงๆ

3. ยึดแบตเตอรี่และแท่นวางแบตเตอรี่ให้แน่น ไม่เคลื่อนไหว

4. ถ้าแบตเตอรี่มีท่อยาวระบายอากาศ อย่าให้ท่อระบายอากาศถูกกดทับเพราะอาจทำให้แบตเตอรี่ระเบิดได้

5. ใส่ขั้วไฟก่อน (อาจเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบก็แล้วแต่ชนิดของรถ) ก่อนใส่ ควรขยายขั้วสวมให้โตกว่าขั้วแบตเตอรี่เล็กน้อย ห้ามตอกขั้วต่ออัดลงไปเพราะจะทำให้ขั้วแบตเตอรี่ทรุดตัวแบตเตอรี่อาจเสียหายได้

6. เมื่อต่อขั้วเรียบร้อย ทาขั้วด้วยจารบี หรือวาสลิน

7. ต่อขั้วดินเป็นอันดับสุดท้าย

จากนั้นก่อนสตาร์ทเครื่อง ก็ควรตรวจดูความถูกต้องในการต่อขั้วอีกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของรถยนต์และตัวคุณเองครับ

-การต่อพ่วงแบตเตอรี่ฉุกเฉิน

บางครั้งแบตเตอรี่รถยนต์ของเรา หรือรถยนต์คันอื่นๆ เกิดการไฟหมด อาจจะต้องมีการต่อพ่วงกัน เราจึงจำเป็นจะต้องเรียนรู้การต่อพ่วงอย่างถูกวิธีไว้บ้าง เริ่มจากจอดรถใกล้กันแต่อย่าให้สัมผัสกัน ใช้สายพ่วงที่ใหญ่ แต่ไม่ยาวเกินไปจากนั้นปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้

1. ต่อขั้วบวก (+) ของสายพ่วงเส้นที่ 1 เข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ ลูกที่ไฟหมด

2. ต่อขั้วอีกข้างหนึ่งของสายพ่วงเส้นที่ 1 เข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ลูกที่ดี

3. ต่อขั้วลบ (-) ของสายพ่วงเส้นที่ 2 เข้ากับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่ลูกที่ดี

4. ต่อขั้วอีกข้างหนึ่งของสายพ่วงเส้นที่ 2 เข้ากับโครงรถคันทีแบตเตอรี่ไฟหมด

5. เมื่อสตาร์ทรถยนต์คันที่ไฟหมด ติดแล้ว จึงค่อยถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ทวนตามลำดับที่กล่าวมาข้างต้น

-การเก็บแบตเตอรีอย่างถูกวิธี


การที่คุณจอดรถไว้โดยไม่ได้ใช้งานเกิน 2 สัปดาห์ จะมีผลกับแบตเตอรี่ของคุณแน่นอน เพราะแบตเตอรี่จะมีการคายประจุไฟออกมาตลอดเวลา ถ้าไม่มีการชาร์จไฟเข้า แผ่นธาตุภายในจะเสื่อมสภาพ ไม่สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้ควรเก็บรักษาแบตเตอรี่ เพื่อให้สามารถนำแบตเตอรี่กลับไปใช้งานได้อีก ตามวิธีดังนี้ คือ


- การเก็บแบตเตอรี่แบบแห้ง (Dry Storage)

เป็นการเก็บแบตเตอรี่ไว้โดยไม่มีสารละลายอยู่ในแบตเตอรี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเก็บแบตเตอรี่ ที่ผลิตออกมาจากโรงงานใหม่ๆ เมื่อต้องการจะใช้งานก็จะนำแบตเตอรี่ไปเติมสารละลายและประจุไฟฟ้าให้เต็ม แต่สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วมีสารละลายอยู่ภายในแบตเตอรี่ การเก็บให้ถอดแบตเตอรี่ออกจากรถ นำไปชาร์จไฟให้เต็มแล้วเทน้ำยาทิ้ง ใช้น้ำกลั่นล้างแล้วเทคว่ำให้แห้ง
เมื่อต้องการจะใช้แบตเตอรี่ก็นำไปเติมน้ำยาและชาร์จไฟใหม่


- การเก็บแบตเตอรี่แบบเปียก (Wet Storage)


แบตเตอรี่ถึงแม้จะชาร์จไฟเต็มแล้ว ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะสามารถคายประจุไฟออกมาเอง ดังนั้นการเก็บแบตเตอรี่ในขณะที่แบตเตอรี่ มีน้ำกรดอยู่ภายใน ควรนำไปประจุไฟทุกๆ 15 วัน การเก็บแบตเตอรี่แบบนี้ถือว่าเป็นการจัดเก็บแบบชั่วคราว เพื่อลดปัญหาแบตเตอรี่ เสื่อมสภาพ อย่าลืมเก็บแบตเตอรี่ให้ถูกวิธีนะครับ


-เปลี่ยนแบตลูกใหญ่ แอมป์สูงดีไหม

หากแบตเตอรี่หมดสภาพ หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ และแบตเตอรี่ลูกเดิมมีแอมป์ไม่สูงนัก ก็ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ลูกใหญ่ขึ้น แอมป์สูงขึ้น ด้วยราคาที่สูงกว่ากันเพียงไม่กี่ร้อยบาท แต่จะทำให้รถยนต์ของคุณมีกำลังไฟฟ้าสำรองมากขึ้น กำลังไฟฟ้าแรงขึ้น และทำให้ไดชาร์จทำงานหนักน้อยลง ทำให้ไม่พังง่าย ฉะนั้นเมื่อแบตเตอรี่หมดสภาพหรือ มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นควรคำนึงถึงคำถามที่ว่า "เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหญ่ แอมป์สูงดีไหม" นี้ด้วย เพราะเสียเงินเพิ่มไม่กี่ร้อยบาท แต่ได้สิ่งที่คุ้มค่ากว่ากลับคืนมา


-ทำไมแบตหมด

หาก ไดชาร์จปกติ แบตเตอรี่ไม่เสื่อม และไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจนกินกระแสไฟฟ้ามากเกินไปแบตเตอรี่ จะไม่มีการหมด นอกจากในเครื่องยนต์รอบเดินเบาไดชาร์จผลิตไฟฟ้าได้น้อยกว่าการใช้อยู่มาก และจอดนิ่งนานหลายชั่วโมง แบตเตอรี่อาจหมดได้ ซึ่งไม่ค่อยพบปัญหานี้ในการใช้งานบนสภาพจราจรปกติ เพราะในการใช้รถยนต์ เมื่อมีการใช้ไฟฟ้าจากหลายอุปกรณ์ เช่น เครื่องยนต์ แอร์ เครื่องเสียง ไฟส่องสว่าง ฯลฯ ก็จะมีไดชาร์จคอยส่งไฟฟ้าที่เหลือจากการใช้คืนกลับเข้าไปสู่แบตเตอรี่อยู่ ตลอด หากแบตเตอรี่หมด เพราะไดชาร์จผิดปกติ คือผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอ แต่แบตเตอรี่ ยังไม่หมดสภาพจะมีการดึงไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ไปใช้เรื่อยๆ ก็แค่ซ่อมแซมระบบไดชาร์จให้เป็นปกติ ใช้เครื่องประจุแบตเตอรี่ให้เต็ม หรือทำให้เครื่องยนต์ติดแล้วให้ไดชาร์จประจุไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ก็สามารถ ใช้งานได้ตามปกติ


หลังจอดรถยนต์ไว้ ถ้าแบตเตอรี่หมดหรือกระแสไฟฟ้าอ่อนลงมากจนไดสตาร์ตหมุนเครื่องยนต์ไม่ไหว ขณะที่ระบบไดชาร์จและเครื่องยนต์ปกติ แสดงว่าแบตเตอรี่หมดสภาพ ก็ถึงคราวจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่กันแล้วคราวนี้

การดูแล รักษาแบตเตอรี่ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าของรถยนต์ให้ใช้งานได้นานนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณตรวจเช็กระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ทุกสัปดาห์ โดยเติมน้ำกลั่นให้ปริมาณได้ระดับอยู่เสมอ หากถ้าแบตเตอรี่ของคุณเป็นแบบที่มีผิวด้านข้างใส ก็สามารถส่องดูจากด้านข้างแบตเตอรี่ได้ แต่ถ้าแบตเตอรี่เป็นแบบผิวทึบ หรือมองจากทางด้านข้างของแบตเตอรี่ไม่สะดวก ก็ให้เติมน้ำกลั่นให้ท่วมแถบแผ่นธาตุไว้ประมาณ 1 เซนติเมตร ไม่ควรใช้น้ำกรองหรือใช้น้ำที่ไม่ใช่น้ำกลั่นเติมแบตเตอรี่โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสั้นลง


-ขั้นตอนการทำความสะอาดแบตเตอรี่

ฟอง ก๊าชที่เกิดจากแบตเตอรี่จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดขี้เกลือที่ขั้ว แบตเตอรี่และสายไฟได้ แต่วิธีทำความสะอาดแบตเตอรี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

ขั้นแรก ใช้แปรงลวดปัดทำความสะอาดด้านบนของแบตเตอรี่ เพื่อขจัดคราบสกปรกในเบื้องต้นก่อน

ขั้นที่สอง ใช้แปรงลวดจุ่มโซเดี่ยมคาร์บอเนต หรือโซดาผง ผสมน้ำ ปัดเพื่อทำความสะอาดแบตเตอรี่

ขั้นที่สาม ล้างโซเดี่ยมคาร์บอเนตออกด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ลูกยางดูดน้ำออกให้หมด

ขั้นที่สี่ ถอดสายแบตเตอรี่ออก (ถอดขั้วลบออกก่อน และเมื่อประกอบกลับคืน ให้ใส่ขั้วบวกก่อน เพื่อป้องกันการเกิดประกายไฟ) จากนั้นเช็ดเพื่อเอาคราบน้ำมันและจาระบีออก


-แบตเตอรี่หมดเพราะเปิดไฟหน้าทิ้งไว้

การ เปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้หลังดับเครื่องยนต์ ไม่มีผลกับเครื่องยนต์แต่อย่างใด แต่แบตเตอรี่จะถูกดึงกระแสไฟฟ้าไปใช้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการประจุไฟเข้าแบตเตอรี่จากไดชาร์จเหมือนกับช่วงเวลาที่ติดเครื่อง ยนต์ ทำให้กระแสไฟฟ้าหมดหรือเหลือน้อยจนไม่เพียงพอสำหรับการสตาร์ตเครื่องยนต์

หากรู้ตัวว่าลืมปิดไฟหน้า เมื่อจอดรถยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานาน ไม่ควรรีบสตาร์ตเครื่องยนต์ทันที ควรปิดไฟแล้วรอให้แบตเตอรี่เก็บประจุ ประมาณ 5-10 นาที แล้วจึงทดลองสตาร์ต ถ้าสตาร์ต 2-3 ครั้งแล้วเครื่องยนต์ยังไม่ติด ไม่ควรพยายามสตาร์ตต่อ ที่สำคัญ ไม่ควรบิดกุญแจค้างไว้นานเกินไปในช่วงที่สตาร์ต เพราะอาจ ทำให้ไดสตาร์ตเสียหายได้


-ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับแบตเตอรี่


แบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์ประกอบรถยนต์ที่สำคัญ ทำหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้าสำรอง เมื่อเครื่องยนต์ถูกใช้งาน จะมีการประจุไฟฟ้าเข้า-ออก หมุนเวียนสู่แบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลา โดยมีคัตเอาต์ทำหน้าที่ตัดประจุเมื่อไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่ และต่อการประจุเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่พร่องลง ปกติแล้ว แบตเตอรี่โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2.5 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ซึ่งในปัจจุบันมีแบตเตอรี่แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย และแบตเตอรี่แบบแห้ง ซึ่งสะดวกต่อการดูแล มีความทนทาน และมีอายุการใช้งานมากกว่าแบบทั่วไป 3-6 เท่า หรือ 5-10 ปี แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน


-เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนแบตใหม่

1. ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย

2. ไฟหน้าไม่สว่าง

3. ตอนเช้าสตาร์ทติดยาก

4. ใช้งานมานานกว่า 1.5 - 2 ปี

5. กระจกไฟฟ้าอืด


-ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีกำลังไฟมากขึ้น


ถ้ารถยนต์ของคุณต้องใช้กำลังไฟ เพื่อทำหน้าที่หลายอย่าง

1. เครื่องมือสื่อสาร

2. เปิดแอร์เป็นเวลานานๆ

3. ใช้รถทั้งกลางวัน-กลางคืน

4. มีการเพิ่มปริมาณไฟส่องสว่าง และติดเครื่องเสียงเพิ่ม

5. ใช้รถน้อย หรือใช้รถเฉพาะวันหยุด

6. ใช้รถเฉพาะกลางคืนและเปิดไฟส่องสว่างเป็นเวลานานๆ


ข้อควรจำ

1. หมั่นตรวจดูระดับน้ำกลั่นอย่าให้ต่ำกว่าจุด LOWER LEVEL

2. ขันขั้วแบตเตอรี่ให้แน่น เพื่อให้กระแสไฟเดินสะดวก

3. ทำความสะอาดคราบสกปรก ที่ติดตามขั้วแบตเตอรี่ และพื้นผิวให้สะอาด 


แหล่งที่มา http://www.navthai.com


ล้างพิษใน 1 วัน ง่ายๆ ด้วยตัวเอง


คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำ ก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย

หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 แคลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อ จากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มี เนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่างเช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อนเพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป

วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว 

อุปกรณ์ 

1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด 

2. มะนาว 4 ลูก 

3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

วิธีทำ 

1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน

2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ

3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้

กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง

แหล่งที่มา http://health.kapook.com

8 วิธีทำความสะอาดบ้านให้ติดเป็นนิสัย

หลังจากกลับบ้าน ก็รีบถอดรองเท้า แล้วโยนกระเป๋าไว้บนโซฟา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน ไม่มีวันไหนเลยที่คุณลุกขึ้นมาทำความสะอาด แต่ก็บ่นว่าบ้านสกปรกทุกวัน คุณเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่าคะ? ถ้าคุณยังมีกิจวัตรประจำวันแบบนี้อยู่ล่ะก็ บ้านของคุณไม่มีทางสะอาดขึ้นอย่างแน่นอน ต่อให้คุณจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด สุดท้ายก็เจอกับสภาพของรก ๆ อยู่ดี ฉะนั้นเริ่มจากตัวคุณก่อนดีที่สุด สร้างนิสัยรักความสะอาดเริ่มจากของใกล้ตัว เช่นของใช้ในบ้านก่อน แล้วค่อยจัดแจงดูแลทำความสะอาดบ้านของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความสะอาดที่กลายเป็นนิสัยยังไงล่ะ

1. วางรองเท้าให้เป็นระเบียบ

ก่อนเข้าบ้านเสียเวลาเอารองเท้าไปวางบนชั้นสักนิด ก็ทำให้บ้านดูเป็นระเบียบขึ้นเยอะ อาจจะแยกชั้น แยกตู้ตามจำนวนรองเท้าของสมาชิกในบ้าน และในตู้วางรองเท้าควรมีอุปกรณ์ทำความสะอาดรองเท้าด้วย ทำให้รองเท้าสะอาดก่อนออกจากบ้าน เพิ่มความมั่นใจให้คุณมากขึ้น ส่วนบริเวณประตู ควรนำพรมเช็ดเท้ามาวาง เพื่อทำความสะอาดฝุ่นที่ติดมากับเท้า และเพื่อป้องกันฝุ่นจากภายนอกด้วย



2. จัดการฝุ่นในบ้านด้วยเครื่องดูดฝุ่น

การใช้เครื่องดูดฝุ่นเป็นวิธีกำจัดฝุ่นที่ดีกว่าการใช้ไม้กวาด เอาไว้สำหรับดูดในบริเวณที่ไม้กวาดไม่สามารถจัดการได้ เช่น พรม หรือตามซอกต่าง ๆ ของบ้าน เพราะเครื่องดูดฝุ่นมีสามารถเปลี่ยนหัวปรับ ให้ทำความสะอาดในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ จะเป็นฝุ่น ขนสัตว์ เศษแก้ว ก็ไม่หวั่น แถมยังใช้เวลาน้อยกว่าการกวาดบ้านอีกด้วย

3. เช็ดน้ำในห้องน้ำให้แห้ง

หลังการอาบน้ำหากมีสบู่หรือแชมพูหยดลงบนพื้นควรทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วเช็ดฝ้าบนกำแพง และไล่น้ำบนพื้นออกไปให้หมด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในห้องน้ำในการอาบน้ำครั้งต่อไป โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องน้ำ ควรมีชั้นวางเป็นที่เก็บอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำของคุณ 

4. รีบเช็ดอ่างล้างหน้าหลังใช้

หลังจากที่คุณแปรงฟัน หรือล้างหน้าเสร็จแล้ว ควรเช็ดอ่างล้างหน้าสะอาด เพราะถ้าปล่อยให้อ่างแห้งเอง ก็จะมีคราบยาสีฟันหรือโฟมล้างหน้าของคุณเหลือเอาไว้ควรใช้น้ำส้มสายชูประมาณ 1 ถ้วยเททิ้งไว้ 1 คืน แล้วค่อยมาราดน้ำทำความสะอาดอีกครั้งในตอนเช้า จะช่วยขจัดคราบต่าง ๆ ออกจากอ่างล้างหน้าได้ดี นอกจากนี้หากคุณแปรงผมใกล้อ่างล้างหน้า ก็อย่าลืมเก็บเศษผมไปทิ้งด้วย เพราะเศษผมเป็นสาเหตุสำคัญ อาจทำให้ท่อน้ำอุดตันได้

5. กำจัดของเก่าในตู้เย็น

ก่อนที่จะใส่ของใหม่เข้าไป นำของที่หมดอายุหรือของที่ไม่รับประทานแล้วออกมาทิ้งก่อน จากนั้นเช็ดด้วยน้ำยาทำความสะอาด หรือผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ โดยเช็ดให้ทั่วบริเวณ แล้วค่อยใส่ของใหม่เข้าไป นอกจากจะได้พื้นที่สำหรับวางของเพิ่มแล้ว ยังช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย

6. ทำความสะอาดเตาแก๊ส

ในกรณีที่น้ำในหม้อที่คุณทำอาหารล้นออกมาจนเตาแก๊สเลอะเทอะมีคาบสกปรก หรือมีน้ำมันกระเด็น หลังจากที่คุณปรุงอาหารเสร็จแล้ว ก็ควรทำความสะอาดทันที เพราะคราบเหล่านี้จะเกาะติดแน่น ถ้าหากทิ้งไว้นานจะทำความสะอาดยากกว่าส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะคราบน้ำมัน โดยเลือกใช้น้ำยาขจัดคราบเพื่อทำความสะอาด และอย่าลืมใส่ถุงมือด้วย เพราะน้ำยาเหล่านี้มีฤทธิ์กัดกร่อน อาจะเป็นอันตรายกับผิวหนังของคุณได้

7. กำจัดกลิ่นในครัว

กลิ่นอาหารที่แม้จะหอมขนาดไหน แต่ถ้ารวมกับกลิ่นควัน หรือมีหลาย ๆ กลิ่นรวมกัน ก็ทำให้ปวดหัวได้นะ วิธีกำจัดกลิ่นง่าย ๆ คือการผสมโซดาไฟกับน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย และน้ำมะนาวครึ่งซีก แล้วฉีดรอบ ๆ ห้องทิ้งไว้ 10 - 20 นาที กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็จะหายไปทันที เป็นการแก้ปัญหาในครัวด้วยอุปกรณ์ในครัวของแท้เลยล่ะ

8. เก็บของให้เป็นที่

หยิบมาจากตรงไหน ใช้เสร็จแล้วก็นำกลับไปวางไว้ที่เดิม ไม่ต้องเสียเวลาจัดของใหม่ ทำให้บ้านสะอาดขึ้นเป็นกอง เช่น อุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องน้ำและห้องครัว ใส่กล่องหรือใส่ถังรวมเอาไว้ และวางไว้บริเวณใต้อ่างล้านจาน หรืออ่างล้างหน้า คราวนี้จะหยิบใช้ก็สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาหาของอีกด้วย

ลองหมั่นใช้วิธีการเหล่านี้ทำความสะอาดบ้านของคุณอยู่เป็นประจำให้ติดเป็นนิสัย จะทำให้คุณไม่อยากเห็นบ้านกลับมารกอีกเลยล่ะ แต่หลังจากที่คุณทำเป็นนิสัยแล้ว ก็อย่าลืมแบ่งปันคนในบ้านด้วย บ้านจะสะอาดได้เพราะคนในบ้านช่วยกันดูแล ถ้าคนนึงทำความสะอาดอีกคนทำสกปรก บ้านก็คงไม่สะอาดสักที มาทำให้บ้านเราสะอาดน่าอยู่ด้วยการช่วยกันคนละไม้ละมือดีกว่าเนอะ


แหล่งที่มา http://home.kapook.com

ทำความสะอาดพระ แบบไหนดี แบบไหนไม่ควรทำ

การทำความสะอาดพระสำหรับมือใหม่ บางครั้งถ้าไม่รู้วิธี่ที่ถูกต้อง อาจจะทำให้พระที่มีสูง ราคาลดได้ หรือด้อยราคาลงไปได้ 


ไปอ่านบทความที่คุณสมุจจัย เขียนไวั้ในวารสารธุรกิจพระ ฉบับที่ ๖๓ เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ เห็นว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนสมาชิกชาวเวปพระ จึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอด ณ ที่นี้ ข้อควรจำสำหรับเซียนพระทุกคน คือ

พระเครื่องไม่ใช่ฟัน อย่าเอาแปรงสีฟันไปแปรง พระเครื่องไม่ใช่ภาชนะหุงต้ม จึงไม่ควรเอาผงขัดหม้อ หรืสก๊อตไบท์ไปขัด ปรมาจารย์ยุคแรกได้ค้นคว้าวิธีทำความสะอาดพระ หลังจากที่ได้ลองผิดลองถูก จนได้วิธีในการทำความสะอาดพระ ดังต่อไปนี้

วิธีที่ ๑ สรงน้ำ สมมุติว่าได้พระสมเด็จมา ๑ องค์ 
- ขั้นตอนแรกให้ใช้แอลกอฮอล์ชโลมเพื่่อฆ่าเชื้อโรคก่อน 
- แล้วจึงสรงด้วยน้ำอุ่น โดยใช้สำลีชุบน้ำอุ่น ลูบไล้ตามซอกต่าง ๆ ให้ทั่ว 
- แล้วนำไปผึ่งลม (ห้ามนำพระลงแ่ช่น้ำอุ่นทั้งองค์โดยเด็ดขาด) เมือแห้งสนิทแล้ว สีพระอาจจะเปลี่ยนไปบ้าง ไม่ต้องตกใจ เพราะที่เป็นอย่างนี้เพราะเหงื่อไคล หรือ ขี้มือ ฝุ่นละออง หลุดออกไป 

การแก้ไขความซีดของพระไม่ยาก ให้ใช้สำลีชุบน้ำหอมสีอ่่อน ๆ ทาให้ทั่วองค์ เนื้อพระจะกลับมาเหมือนเดิม

วิธีที่ ๒ การกำจัดฝ่นละออง ให้ใช้คัดตอนบัด ลูบเบา ๆ มั่นปัดในซอกลึก ๆ ฝุ่นละอองจะหมดไป วิธี่นี้ิเหมาะสำหรับพระที่จะเก็บเข้ากล่องนาน ๆ

วิธีที่ ๓ การกำจัดเชื้อรา พระเครื่องที่เก็บไว้นาน ๆ ในฤดูฝนอากาศชื้นมากกว่าปกติ อาจมีเชื้อราจับเป็นฝ้าบาง ๆ ตามซอกต่าง ๆ ถ้ามีให้ใช้ขนมปังปอนด์ เอาเฉพาะส่วนที่นุ่ม ๆ ตรงกลาง ตบเบา ๆ บนเนื้อพระ ราและผงฝุ่นจะหลุดออกมาหมดพร้อมขนมปัง 

แต่ถ้าต้องการความสะอาดหมดจด ให้เอาพระซุกไว้บริเวณกลางเนื้อขนมปัง แล้วใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ห่อขนมปังไว้อีกที ระวังอย่างให้ผ้าแห้ง ขนมปังจะแข็ง ทิ้งไว้ ๑ - ๒ คืน เมื่อเอาพระออกมา ใช้แปรงอ่อน ๆ หรือคัดตอนบัด ปัดเศษขนมปังออกให้หมด จากนั้นผึ่งลมใหแห้งสนิท เนื้อพระจะเกลี้ยงเกลา ดูผิวหนึกหนุ่มนวลตาขึ้นเป็นอันมาก วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพระสมเด็จ ชนิดมีแป้งโรยพิมพ์

วิธีที่ ๔ กำจัดความชื้น มีวิธีดังนี้ 
๑. ใช้ข้าวสารกลบไว้ในภาชนะขนาดย่อมสัก ๒ - ๓ คืน เมื่อเอาออกมาใช้แปรงขนอ่อน ปัดข้าวสารออก เนื้อพระจะแห้งปราศจากน้ำมัน ผิวพระจะนวล นุ่มตากว่าเก่า เหมาะสำหรับทำความสะอาดพระเนื้อนุ่ม 
๒. สรงด้วยน้ำซาวข้าวที่มีตะกอนข้น ๆ แช่พระไว้ ๑-๒ ชั่วโมง แล้วนำมาล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผึ่งลมให้่แห้งสนิท เหมาะสำหรับพระเนื้อแกร่ง

วิธีที่ ๕ ล้างสนิม ในกรณีมีสนิมเหล็กจับที่เนื้อพระให้ใช้เปลือกหมากเจียนเป้นชิ้นเล็ก ๆ จุ่มน้ำยาล้างสนิม ถูค่อย ๆ หลาย ๆ ครั้ง สนิมจะค่อย ๆ หลุดออก 

ข้อควรระวัง
คืออย่าถูแรง ๆ จะทำให้ผิวพระเสียได้

วิธีที่ ๖ ล้างสี ในกรณีที่เนื้อพระเปื้อนสี ถ้าเป็นสีน้ำมัน ให้ล้างออกด้วยทินเนอร์ ถ้าเป้นสีชนิดอื่น ให้ใช้นำยาคลอรีน หรือน้ำยาซัลเฟอร์ได้ออกไซด์ล้างสีออก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง ผึ้งให้แห้ง

วิธีที่ ๗ การแช่ด้วยผงชูรส ใช้กับพระเนื้อโลหะ เหรียญ หรือรูปหล่อ แช่ไว้ราวครึ่งชั่วโมง หรือนานกว่านั้นตามปริมาณคราบสกปรก เช็ดออกด้วยสำลี หรือล้างน้ำสะอาด 

การทำความสะอาดด้วยวิธีนี้ อาจทำให้พระเปลี่ยนสีได้ ถ้าทิ้งไว้นาน ๆ ผิวจะกลับดั่งเดิม หรือถ้าใจร้อนอาจใช้ขีผึ้งเบอร์ ๒๘ ทาบาง ๆ ก็ได้ เป็นวิธีที่ไม่ควรทำ แต่ถ้าให้ดี ควรรักษาผิวเดิมของพระไว้ดีกว่า ถ้าอยากทำความสะอาดจริง ๆ สามารถล้างด้วยแชมภูอ่อน ๆ ผสมน้ำอุ่นก็พอแล้ว

วิธีที่ ๘ ไม่ควรขัดพระด้วยน้ำยาขัดโลหะ น้ำยาสำหรับขัดโลหะ สามารถขัดพระประเภทเนื้อสำริดหรือทองผสม ทำให้สะอาดหมดจดจริง ๆ แต่โลหะจะสึกมากกว่า การแช่ด้วยด้วยผงชูรส การขัดพระ ล้างพระ ควรทำด้วยความระมัด ระวัง การใช้กรดอย่างอ่อน เช่น มะนาว มะขาม ในพระเนื้อผง จะทำให้พระดูซีดขาวขึ้น ทำให้ขาดเสน่ห์

แหล่งที่มา http://www.web-pra.com


เปิดสูตร "ชาเย็น" 3 ยี่ห้อ พร้อมวิธีการชง..สูตรจัดเต็ม !!



ก่อนอื่นก็เตรียมชากันเลยครับ .. ชอบแบบไหน ยี่ห้อไหน ตามสะดวกครับ

เริ่มจากชาตรามือ(สีทอง) ขนาด 400 กรัม ถุงละ 85 บาท
โดยรวมแล้ว ชาตรามือจะค่อนข้างกลมกล่อม โดยเฉพาะถุงสีทองจะหอมกว่าถุงสีแดง และรสชาติจะนุ่มละมุนกว่า
มีรสเข้ม ฝาดนิดๆ 

ส่วนชาชักตราครบรส ขนาด 300 กรัม ราคา 125 บาท
จะมีสีเข้มกว่าเมื่อชงออกมาเป็นน้ำแล้ว หากชงในสูตรเดียวกัน เมื่อเทียบกับอีก 2 ยี่ห้อ จะได้รสชาติชาจัดๆ
เข้ม ฝาดชัดเจน แต่ก็หอม อร่อย ใช้ได้เลยครับ ถ้าใครชอบชารสจัด แนะนำตัวนี้

ชาระมิงค์ ขนาด 250 กรัม ราคา 60 บาท
สีชาก็จะออกส้มๆ เป็นปกติ หากชงเป็นชาเย็น จะรสชาติออกนมๆ นุ่ม และไม่เข้มนัก แทบไม่ได้รสฝาดของชาเลย หากเทียบกัน 3 ยี่ห้อ ตัวนี้รสชาจะอ่อนสุด เหมาะสำหรับคนชอบกินชาที่รสชาติไม่จัดนัก


หากเพื่อน ๆ รู้คุณสมบัติของแต่ละชนิดแล้ว ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอาเลยครับ
หรือจะเอามาผสมกันก็ไม่ผิด เหมือนการนำเมล็ดกาแฟแต่ละแบบมาผสมรวมกันนั่นแหละ...
อาจจะได้รสชาติที่แตกต่างไปอีก และยังมีอีกหลายๆ ยี่ห้อครับที่ผมเคยซื้อมาลองแล้วยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่



ให้เห็นกันชัดๆ ไปเลยครับว่า ลักษณะชาแต่ละชนิดเป็นเช่นไร มีสีที่แตกต่างกันอย่างไร
ส่วนที่มาที่ไป จะเป็นชาแดง ชาดำ ชาโน่นนี่นั่น อย่าไปสนใจเลยครับ .. เน้นที่รสชาติดีกว่า 
ถ้าจะให้อธิบายเดี๋ยวจะปวดหัวกันป่าวๆ ^___^



ส่วนอุปกรณ์ ก็แบบที่เห็นนี้แหละครับ .. ที่สำคัญควรจะมี "ถุงชงชา" 
หากใครไม่มี ห้ามใช้ "ถุงเท้า" เด็ดขาด !!!! 555 อนุญาตให้ใช้ผ้าขาวบางแทนได้ครับ

ส่วนแก้วที่ใช้ชง จะใช้เป็นถ้วยตวงใสก็จะดีมาก (ของผมแตกไปแล้ว) 
จะเป็นแก้วสแตนเลสแบบในรูปก็ได้ หรือจะใช้แก้วกาแฟก็ไม่ว่ากัน แต่ขอให้มีขนาดประมาณ 250-300 ml.

ส่วนกระป๋องใหญ่ๆ สำหรับชงชา ถ้าไม่มี อนุญาตให้ใช้หม้อ หรือภาชนะอื่นๆ ที่มันใหญ่พอแทนได้ครับ
(อะไรก็ใช้ได้หมดครับ.. ถ้าไม่มีก็ประยุกต์เอาได้เล้ยยย)



ขอบอกไว้ก่อนว่า .. อันนี้เราจะมีการตวงแบบมาตรฐานกันหน่อย
ห้ามเอาไปเปรียบเทียบกับรถเข็นข้างทางเด็ดขาด !!! 55 เดี๋ยวบางคนจะแย้งว่า ทีรถเข็นข้างทางยังไม่เห็นต้องตวงแบบนี้เลย .. แบบนั้นเค้าใช้ความชำนาญแล้ว ยกให้เค้าไป อิอิ

เรามาดูเครื่องมือตวงกันดีกว่าครับ
ปกติผมจะใช้ "แก้วชอต" หรือ "แก้วตวง" ซึ่งมีขนาด 1.5 ออนซ์ หรือเท่ากับ 45 มล.
ฉะนั้นคำว่า 1shot นั่นหมายถึง 1.5 ออนซ์นะครับ (ผมใช้แก้วกลาง)

ทำไมผมถึงกากบาทเจ้าแก้วชอตตัวแรก เนื่องจากว่า จากประสบการณ์ที่ผมทำเครื่องดื่มและสอนมาหลายปี
ผมพบความจริงตอนที่ตวงยาให้ลูกชาย (เกี่ยวไรกันเนี่ย) ... ว่าเจ้าแก้วแบบแรกมีปริมาตรที่ไม่มาตรฐาน
ซึ่งหากเราตวง 30 มล. ในแก้วสีแดง มันจะได้เท่ากับ 40-45 มล. ในแก้วสีดำ 

และผมก็พิสูจน์โดยการนำไปเทียบกับหลายๆ อุปกรณ์การตวงทั้งถ้วยตวง และจิกเกอร์(รูปขวามือ)
ผลปรากฎว่า ทุกอุปกรณ์เท่ากันหมด ยกเว้นเจ้าแก้วสีแดงที่ว่า .. ฉะนั้นตัดมันไป

ส่วนจิกเกอร์(jigger)ขนาดตามในภาพ ด้านใหญ่จะมีความจุ 1 ออนซ์ ด้านเล็ก 0.5 ออนซ์



ต่อไปมาเตรียมนมกันบ้าง

นมที่ใช้จะมีนมสดหรือนมจืด .. ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งพาสเจอร์ไรส์ ทั้ง UHT 
อาจจะมีความต่างกันที่รสชาติบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ค่อยซีเรียสนัก 
เนื่องจากไม่ได้ไปซื้อพาสเจอร์ไรส์ เลยขอยืม UHT ตราวัวแดงของเจ้าลูกชายมาใช้ก่อน หุหุ..

อีกหนึ่งชนิดที่ขาดไม่ได้คือ "นมข้นจืด" จะใช้ยี่ห้อไหนก็แล้วแต่ใครจะชอบ จะสะดวกซื้อ
วันนี้ขอใช้ตรา falcon เพราะว่าเค้ากำลังมีโปรโมชั่น 1 แถม 1 (แบบว่างก) 555+
อย่างที่เราทราบ ชาเย็นแบบไทยๆ เรา มันต้องมีความ "มัน" ถึงจะอร่อย ..ฉะนั้น นมข้นจืด ขาดไม่ได้

และสุดท้าย "นมข้นหวาน" .. หรือ "ครีมเทียมข้นหวาน" สุดแล้วแต่
ใช้สำหรับปรุงแต่งความหวาน ให้มันกลมกล่อม (ส่วนใครกลัวอ้วน..ก็อด)



ก่อนอื่น เตรียมผงชาก่อนเลยครับ .. 

ขอบอกเลยว่า สูตรนี้เป็นสูตรที่ชงกินเอง .. หรือหากชงขาย ก็ขายแบบคุณภาพ เหมือนกับที่ผมตั้งชื่อกระทู้ว่า
"สูตรจัดเต็ม" ฉะนั้น อัตราส่วนที่ใช้ จะใช้มากกว่าที่เค้าชงขายกันทั่วไปอย่างแน่นอน
ซึ่งรสชาติก็จะจัด และเข้มข้นกว่า 

ผมเคยใช้สูตรข้างถุงของชาตรามือ ปรากฎว่า "จืดสนิท" ไม่อร่อยเลย
หรือบางทีตามร้านกาแฟโบราณ ชาโบราณ ร้านรถเข็น เค้าจะใช้ชา 1 ส่วนแช่ไว้ทั้งวัน ตักน้ำร้อนเติมๆๆๆ เอา

*** สูตรก็คือ ใช้ผงชา 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน ****
หากอยากจะชงขายแล้วประหยัดต้นทุนอีกนิด อนุโลมให้ใช้น้ำได้ 4 ส่วน (ห้ามเกินนั้น .. ไม่งั้นชาจะไม่เข้มข้น")

วันนี้ ชา 1 ส่วนของผม จะเท่ากับ 1 แก้วสแตนเลสใบนี้ (ประมาณ 10 ออนซ์)
ชงได้ทั้งหมด 6 แก้ว (สำหรับแก้ว 16 ออนซ์เติมน้ำแข็งแล้ว)



เมื่อชาพร้อม ... ก็เตรียมน้ำร้อนให้พร้อมเลยครับ 

ชาแบบนี้ไม่จำเป็นต้องต้มนะครับ 
พร้อมแล้วก็เทชาลงไปในถุงโลด !!!!



อย่างที่บอก.. ชา 1 ส่วน น้ำ 3 ส่วน (ไม่เกิน 4 ส่วน)

เวลาเทน้ำร้อนลงไป ค่อยๆ เทให้ทั่วๆ ผงชาที่อยู่ในถุงครับ เพื่อให้น้ำและความร้อนกระจายทั่วถึง



เมื่อเทน้ำลงไปจนครบตามปริมาณ .. ก็ถึงขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนนึงครับ
ที่จะทำให้ชานั้นมีรสชาติที่ดี และมีความหอม 
ขั้นตอนนี้จะทำให้กลิ่นชาหอมคละคลุ้งทั่วบ้านเลยล่ะครับ

คือ ให้เทน้ำชากลับไปกลับมาระหว่าง 2 กระป๋อง ประมาณ 3-4 รอบ (เท 1 ครั้งเท่ากับ 1 รอบ)

และมีเทคนิคอยู่นิดนึงครับ ยิ่งถ้าเราสามารถดึงกระป๋องให้สูงขึ้นมากเท่าไหร่ เพื่อให้น้ำชาได้สัมผัสอากาศมากๆ
(หลักการเดียวกับชาชัก) ก็จะทำให้กลิ่นและรสชาติดีขึ้นครับ

ปล. เวลาเท อย่าเทลงจุดเดียวนะครับ ให้วนๆๆ ทั่วๆ



ขั้นตอนอาจจะดูเยอะ .. แต่พอทำจริงๆ ง่ายนิดเดียวครับ
เพียงแต่ใส่ใจในรายละเอียด และเพิ่มเติมเทคนิคเข้าไปนิดหน่อย

อย่างเช่นขั้นตอนนี้ .. เมื่อเราเทกลับไปกลับมาเสร็จเรียบร้อย ก็แช่ชาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีครับ
เพื่อให้รสชาติของชากระจายออกมา เข้มและฝาดได้ที่ 

เมื่อครบ 5 นาที ให้เอาถุงชาออก .. และนำกากชาทิ้งได้เลย อย่าเสียดาย 
แต่ถ้าเสียดาย เติมน้ำเข้าไปได้อีก 3 ส่วนเท่าเดิม เก็บหางชาส่วนที่ 2 ไว้ทำชาดำเย็น หรือชามะนาวได้ครับ

หมายเหตุ.. อย่าแช่นานเกินไปนะครับ ชาจะเริ่มฝาดจนเฝื่อน



เอาล่ะครับ ... เตรียมปากกาไว้จดสูตรได้เลย 


ผมใช้นมข้น 4 ช้อนชา นะครับ (ไม่ต้องใช้ช้อนชาแบบตวงนะครับ..ช้อนกาแฟเรานั่นแหละ)
ถ้าใครไม่ชอบหวานมาก ลดนมข้นลงมาเหลือสัก 3 ช้อนชาได้ ..

ตรงนี้เค้าเรียกว่า "รสมือ" แล้วล่ะครับ เพราะมันสามารถบวก ลบ ได้นิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องเป๊ะ
สังเกตปริมาณการตักในรูปนะครับ จะเกินนิดๆ ... ตักใส่แก้วได้เลย

เวลาผมสอน ...จะมีหลายคนเกร็งๆ ว่า 4 ช้อนนี่ต้องปาด ต้องพอดีๆ ขอบอกว่าไม่ขนาดนั้น
มือหนัก มือเบา ตามสะดวกเลยครับ



นมข้น 4 ช้อนชาเมื่อสักครู่ หากจะเอาให้เป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน
จะได้ปริมาณอยู่ที่ 1 ออนซ์ (30 ml.) พอดิบพอดี .. แต่เมื่อสักครู่ผมตักเกินไปหน่อย ก็จะประมาณออนซ์กว่าๆ



จากนั้น ก็เติมความหวานด้วยน้ำตาลทราย 2 ช้อนชา(ช้อนกาแฟ) ..ตักธรรมดาๆ ไม่ต้องพูนมากนะครับ

เหตุที่ต้องใช้ความหวานจากน้ำตาลทรายควบคู่ไปด้วย เนื่องจาก ความหวานของนมข้นเป็นความหวานแบบนุ่มๆ เลี่ยนๆ
เราต้องเติมความ "หวานแหลม" ของเจ้าน้ำตาลทรายควบคู่กันไป เป็นการตัดรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้นครับ


**จะสังเกตได้ว่า ถ้าเราไปซื้อร้านทั่วๆ ไปเค้าจะใช้น้ำตาลทรายเยอะมาก ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ
แล้วใช้นมข้นหวานน้อยหน่อย เพื่อเป็นการลดต้นทุน***



เรียบร้อยแล้ว นำชาที่ยังอุ่นๆ ร้อนๆ เทลงไปได้เลย ใช้ปริมาณคือ 2 ชอตหรือ 3 ออนซ์ (90 ml.) เท่านั้น
เพราะชาที่เราทำไว้ค่อนข้างเข้มข้น



จากนั้นก็ คนๆๆๆๆๆๆๆๆ แรงๆ เร็วๆ ให้เข้ากัน
ขั้นตอนนี้ก็สำคัญครับ ตรงที่ต้องคนแรงๆ เร็วๆ นี่แหละ นอกจากจะทำให้น้ำตาลละลายง่าย
แล้วยังทำให้รสชาติดีขึ้นด้วยครับ

สังเกตแม่ค้าเวลาคนสิครับ ..มันส์มือเชียวแหละ



เมื่อทุกอย่างละลาย เข้ากันเรียบร้อยแล้ว
ให้เติมนมสด 1 ชอต (1.5 ออนซ์หรือ 45 ml.)

***หากใครต้องการความมันที่มากขึ้น ให้ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย
แล้วให้ใช้นมข้นจืดแทน***



ส่วนผสมสุดท้ายแล้วครับ เติมนมข้นจืดลงไปอีก 1 ชอต 

**สรุปจาก คห.ก่อนหน้านี้ ถ้าใครชอบความหวานมันเป็นพิเศษ ก็ให้ใช้นมข้นจืด 2 ชอต**



เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี ... เตรียมน้ำแข็งรอได้เลยครับ

เมื่อเราผสมทุกสิ่งทุกอย่างครบเรียบร้อย ปริมาณของน้ำทั้งหมดจะเท่ากับ 8 Oz.



สีของชาที่ได้จะเป็นเช่นฉะนี้ .. ผมใช้ชาตรามือนะครับ



ว่ากันด้วยเรื่องของน้ำแข็งสักนิด

เรื่องน้ำแข็งนี่แล้วแต่คนชอบจริงๆ ครับ บางคนชอบน้ำแข็งใหญ่ น้ำแข็งหลอดเล็ก น้ำแข็งป่น น้ำแข็งบด
ส่วนผมปกติชอบใช้น้ำแข็งจากตู้เย็นเลยครับ น้ำแข็งทำเองสะอาดดี และก้อนใหญ่
จะทำให้เครื่องดื่มเย็นพอดีๆ และดูดได้น้ำเยอะๆ 

แต่บางคนก็บอกว่า เวลากินชาเย็นต้องใช้น้ำแข็งเล็กๆ ดูดไปด้วย เคี้ยวน้ำแข็งไปด้วย อร่อยดี ^_^

----

ซึ่งแก้วที่ผมใช้นี่คือ ขนาด 16 ออนซ์ ใส่พร้อมน้ำแข็งก้อนใหญ่ (cube ice) จะเต็มแก้วพอดี

แต่ถ้าใช้น้ำแข็งหลอดเล็ก หรือน้ำแข็งโม่ น้ำแข็งบด อัดเต็มๆ แก้ว สามารถใส่ในแก้ว 22 ออนซ์ได้ครับ
ราดนมโรยหน้าไปอีกนิดตามสูตร

ว่าแล้วก็เทใส่แก้วได้เล้ยยยยยยยย



สรุปสูตรนะครับ

-ชาผง 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน เทกลับไปกลับมา 3-4 รอบ และแช่ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
-นมข้นหวาน 4 ช้อนชา (หากไม่หวานมากใช้ 3 ช้อนชา)
-น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา (หากไม่หวานมากใช้ 1 ช้อนชา)
-นมสด 1 ชอต (หากไม่ชอบมันมาก ให้ใช้นมสด 2 ชอต)
-นมข้นจืด 1 ชอต (หากชอบมันมาก ให้ใช้นมข้นจืด 2 ชอต)

สามารถเพิ่ม/ลด ส่วนผสมความหวาน ความมัน ได้ตามความชอบเลยครับ

หากใช้ปริมาณชาตามที่ผมชงในครั้งนี้ .. จะชงได้ทั้งหมดประมาณ 6 แก้ว
สามารถผสมนม เก็บไว้ได้เลย แช่ตู้เย็นไว้ได้ประมาณ 3-4 วันครับ

หรือถ้าไม่ชงเก็บไว้ ก็ลดปริมาณน้ำชาลงตามส่วนได้เลยครับ 

------------------

ใครลองชง ลองชิมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็มาบอกบ้างนะครับ ถูกใจไม่ถูกใจอย่างไร
หรือใครสงสัยตรงไหนเพิ่มเติม ก็หลังไมค์มาพูดคุย มาถามได้ครับ ยินดีแบ่งปัน ^_____^

ขอให้อร่อยกับ "ชาเย็น" นะคร้าบบบบบ Cheers !!!!!



แหล่งที่มา http://topicstock.pantip.com