บางครั้ง หากมีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์เพิ่ม แบตเตอรี่ก็ควรถูกปรับเปลี่ยนความจุให้มีมากขึ้นด้วย
ซึ่งหากมีการติดตั้งแบตเตอรี่ใหม่ในยานพาหนะ ควรปฏิบัติดังนี้
1. สังเกตว่าแบตเตอรี่ใหม่ ซึ่งจะใช้ติดรถ อยู่ในสภาพไฟเต็ม
2. ควรบันทึกวันที่เริ่มใช้แบตเตอรี่ใหม่ ไว้เพื่อการตรวจสอบสภาพเป็นช่วงๆ
3. ยึดแบตเตอรี่และแท่นวางแบตเตอรี่ให้แน่น ไม่เคลื่อนไหว
4. ถ้าแบตเตอรี่มีท่อยาวระบายอากาศ อย่าให้ท่อระบายอากาศถูกกดทับเพราะอาจทำให้แบตเตอรี่ระเบิดได้
5. ใส่ขั้วไฟก่อน (อาจเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบก็แล้วแต่ชนิดของรถ) ก่อนใส่ ควรขยายขั้วสวมให้โตกว่าขั้วแบตเตอรี่เล็กน้อย ห้ามตอกขั้วต่ออัดลงไปเพราะจะทำให้ขั้วแบตเตอรี่ทรุดตัวแบตเตอรี่อาจเสียหายได้
6. เมื่อต่อขั้วเรียบร้อย ทาขั้วด้วยจารบี หรือวาสลิน
7. ต่อขั้วดินเป็นอันดับสุดท้าย
จากนั้นก่อนสตาร์ทเครื่อง ก็ควรตรวจดูความถูกต้องในการต่อขั้วอีกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของรถยนต์และตัวคุณเองครับ
-การต่อพ่วงแบตเตอรี่ฉุกเฉิน
บางครั้งแบตเตอรี่รถยนต์ของเรา หรือรถยนต์คันอื่นๆ เกิดการไฟหมด อาจจะต้องมีการต่อพ่วงกัน เราจึงจำเป็นจะต้องเรียนรู้การต่อพ่วงอย่างถูกวิธีไว้บ้าง เริ่มจากจอดรถใกล้กันแต่อย่าให้สัมผัสกัน ใช้สายพ่วงที่ใหญ่ แต่ไม่ยาวเกินไปจากนั้นปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
1. ต่อขั้วบวก (+) ของสายพ่วงเส้นที่ 1 เข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ ลูกที่ไฟหมด
2. ต่อขั้วอีกข้างหนึ่งของสายพ่วงเส้นที่ 1 เข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ลูกที่ดี
3. ต่อขั้วลบ (-) ของสายพ่วงเส้นที่ 2 เข้ากับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่ลูกที่ดี
4. ต่อขั้วอีกข้างหนึ่งของสายพ่วงเส้นที่ 2 เข้ากับโครงรถคันทีแบตเตอรี่ไฟหมด
5. เมื่อสตาร์ทรถยนต์คันที่ไฟหมด ติดแล้ว จึงค่อยถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ทวนตามลำดับที่กล่าวมาข้างต้น
-การเก็บแบตเตอรีอย่างถูกวิธี
การที่คุณจอดรถไว้โดยไม่ได้ใช้งานเกิน 2 สัปดาห์ จะมีผลกับแบตเตอรี่ของคุณแน่นอน เพราะแบตเตอรี่จะมีการคายประจุไฟออกมาตลอดเวลา ถ้าไม่มีการชาร์จไฟเข้า แผ่นธาตุภายในจะเสื่อมสภาพ ไม่สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้ควรเก็บรักษาแบตเตอรี่ เพื่อให้สามารถนำแบตเตอรี่กลับไปใช้งานได้อีก ตามวิธีดังนี้ คือ
- การเก็บแบตเตอรี่แบบแห้ง (Dry Storage)
เป็นการเก็บแบตเตอรี่ไว้โดยไม่มีสารละลายอยู่ในแบตเตอรี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเก็บแบตเตอรี่ ที่ผลิตออกมาจากโรงงานใหม่ๆ เมื่อต้องการจะใช้งานก็จะนำแบตเตอรี่ไปเติมสารละลายและประจุไฟฟ้าให้เต็ม แต่สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วมีสารละลายอยู่ภายในแบตเตอรี่ การเก็บให้ถอดแบตเตอรี่ออกจากรถ นำไปชาร์จไฟให้เต็มแล้วเทน้ำยาทิ้ง ใช้น้ำกลั่นล้างแล้วเทคว่ำให้แห้ง
เมื่อต้องการจะใช้แบตเตอรี่ก็นำไปเติมน้ำยาและชาร์จไฟใหม่- การเก็บแบตเตอรี่แบบเปียก (Wet Storage)
แบตเตอรี่ถึงแม้จะชาร์จไฟเต็มแล้ว ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะสามารถคายประจุไฟออกมาเอง ดังนั้นการเก็บแบตเตอรี่ในขณะที่แบตเตอรี่ มีน้ำกรดอยู่ภายใน ควรนำไปประจุไฟทุกๆ 15 วัน การเก็บแบตเตอรี่แบบนี้ถือว่าเป็นการจัดเก็บแบบชั่วคราว เพื่อลดปัญหาแบตเตอรี่ เสื่อมสภาพ อย่าลืมเก็บแบตเตอรี่ให้ถูกวิธีนะครับ
-เปลี่ยนแบตลูกใหญ่ แอมป์สูงดีไหม
หากแบตเตอรี่หมดสภาพ หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ และแบตเตอรี่ลูกเดิมมีแอมป์ไม่สูงนัก ก็ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ลูกใหญ่ขึ้น แอมป์สูงขึ้น ด้วยราคาที่สูงกว่ากันเพียงไม่กี่ร้อยบาท แต่จะทำให้รถยนต์ของคุณมีกำลังไฟฟ้าสำรองมากขึ้น กำลังไฟฟ้าแรงขึ้น และทำให้ไดชาร์จทำงานหนักน้อยลง ทำให้ไม่พังง่าย ฉะนั้นเมื่อแบตเตอรี่หมดสภาพหรือ มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นควรคำนึงถึงคำถามที่ว่า "เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหญ่ แอมป์สูงดีไหม" นี้ด้วย เพราะเสียเงินเพิ่มไม่กี่ร้อยบาท แต่ได้สิ่งที่คุ้มค่ากว่ากลับคืนมา
-ทำไมแบตหมด
หาก ไดชาร์จปกติ แบตเตอรี่ไม่เสื่อม และไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจนกินกระแสไฟฟ้ามากเกินไปแบตเตอรี่ จะไม่มีการหมด นอกจากในเครื่องยนต์รอบเดินเบาไดชาร์จผลิตไฟฟ้าได้น้อยกว่าการใช้อยู่มาก และจอดนิ่งนานหลายชั่วโมง แบตเตอรี่อาจหมดได้ ซึ่งไม่ค่อยพบปัญหานี้ในการใช้งานบนสภาพจราจรปกติ เพราะในการใช้รถยนต์ เมื่อมีการใช้ไฟฟ้าจากหลายอุปกรณ์ เช่น เครื่องยนต์ แอร์ เครื่องเสียง ไฟส่องสว่าง ฯลฯ ก็จะมีไดชาร์จคอยส่งไฟฟ้าที่เหลือจากการใช้คืนกลับเข้าไปสู่แบตเตอรี่อยู่ ตลอด หากแบตเตอรี่หมด เพราะไดชาร์จผิดปกติ คือผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอ แต่แบตเตอรี่ ยังไม่หมดสภาพจะมีการดึงไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ไปใช้เรื่อยๆ ก็แค่ซ่อมแซมระบบไดชาร์จให้เป็นปกติ ใช้เครื่องประจุแบตเตอรี่ให้เต็ม หรือทำให้เครื่องยนต์ติดแล้วให้ไดชาร์จประจุไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ก็สามารถ ใช้งานได้ตามปกติ
หลังจอดรถยนต์ไว้ ถ้าแบตเตอรี่หมดหรือกระแสไฟฟ้าอ่อนลงมากจนไดสตาร์ตหมุนเครื่องยนต์ไม่ไหว ขณะที่ระบบไดชาร์จและเครื่องยนต์ปกติ แสดงว่าแบตเตอรี่หมดสภาพ ก็ถึงคราวจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่กันแล้วคราวนี้
การดูแล รักษาแบตเตอรี่ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าของรถยนต์ให้ใช้งานได้นานนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณตรวจเช็กระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ทุกสัปดาห์ โดยเติมน้ำกลั่นให้ปริมาณได้ระดับอยู่เสมอ หากถ้าแบตเตอรี่ของคุณเป็นแบบที่มีผิวด้านข้างใส ก็สามารถส่องดูจากด้านข้างแบตเตอรี่ได้ แต่ถ้าแบตเตอรี่เป็นแบบผิวทึบ หรือมองจากทางด้านข้างของแบตเตอรี่ไม่สะดวก ก็ให้เติมน้ำกลั่นให้ท่วมแถบแผ่นธาตุไว้ประมาณ 1 เซนติเมตร ไม่ควรใช้น้ำกรองหรือใช้น้ำที่ไม่ใช่น้ำกลั่นเติมแบตเตอรี่โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสั้นลง
-ขั้นตอนการทำความสะอาดแบตเตอรี่
ฟอง ก๊าชที่เกิดจากแบตเตอรี่จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดขี้เกลือที่ขั้ว แบตเตอรี่และสายไฟได้ แต่วิธีทำความสะอาดแบตเตอรี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
ขั้นแรก ใช้แปรงลวดปัดทำความสะอาดด้านบนของแบตเตอรี่ เพื่อขจัดคราบสกปรกในเบื้องต้นก่อน
ขั้นที่สอง ใช้แปรงลวดจุ่มโซเดี่ยมคาร์บอเนต หรือโซดาผง ผสมน้ำ ปัดเพื่อทำความสะอาดแบตเตอรี่
ขั้นที่สาม ล้างโซเดี่ยมคาร์บอเนตออกด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ลูกยางดูดน้ำออกให้หมด
ขั้นที่สี่ ถอดสายแบตเตอรี่ออก (ถอดขั้วลบออกก่อน และเมื่อประกอบกลับคืน ให้ใส่ขั้วบวกก่อน เพื่อป้องกันการเกิดประกายไฟ) จากนั้นเช็ดเพื่อเอาคราบน้ำมันและจาระบีออก
-แบตเตอรี่หมดเพราะเปิดไฟหน้าทิ้งไว้
การ เปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้หลังดับเครื่องยนต์ ไม่มีผลกับเครื่องยนต์แต่อย่างใด แต่แบตเตอรี่จะถูกดึงกระแสไฟฟ้าไปใช้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการประจุไฟเข้าแบตเตอรี่จากไดชาร์จเหมือนกับช่วงเวลาที่ติดเครื่อง ยนต์ ทำให้กระแสไฟฟ้าหมดหรือเหลือน้อยจนไม่เพียงพอสำหรับการสตาร์ตเครื่องยนต์
หากรู้ตัวว่าลืมปิดไฟหน้า เมื่อจอดรถยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานาน ไม่ควรรีบสตาร์ตเครื่องยนต์ทันที ควรปิดไฟแล้วรอให้แบตเตอรี่เก็บประจุ ประมาณ 5-10 นาที แล้วจึงทดลองสตาร์ต ถ้าสตาร์ต 2-3 ครั้งแล้วเครื่องยนต์ยังไม่ติด ไม่ควรพยายามสตาร์ตต่อ ที่สำคัญ ไม่ควรบิดกุญแจค้างไว้นานเกินไปในช่วงที่สตาร์ต เพราะอาจ ทำให้ไดสตาร์ตเสียหายได้
-ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับแบตเตอรี่
แบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์ประกอบรถยนต์ที่สำคัญ ทำหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้าสำรอง เมื่อเครื่องยนต์ถูกใช้งาน จะมีการประจุไฟฟ้าเข้า-ออก หมุนเวียนสู่แบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลา โดยมีคัตเอาต์ทำหน้าที่ตัดประจุเมื่อไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่ และต่อการประจุเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่พร่องลง ปกติแล้ว แบตเตอรี่โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2.5 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ซึ่งในปัจจุบันมีแบตเตอรี่แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย และแบตเตอรี่แบบแห้ง ซึ่งสะดวกต่อการดูแล มีความทนทาน และมีอายุการใช้งานมากกว่าแบบทั่วไป 3-6 เท่า หรือ 5-10 ปี แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน
-เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนแบตใหม่
1. ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย
2. ไฟหน้าไม่สว่าง
3. ตอนเช้าสตาร์ทติดยาก
4. ใช้งานมานานกว่า 1.5 - 2 ปี
5. กระจกไฟฟ้าอืด
-ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีกำลังไฟมากขึ้น
ถ้ารถยนต์ของคุณต้องใช้กำลังไฟ เพื่อทำหน้าที่หลายอย่าง
1. เครื่องมือสื่อสาร
2. เปิดแอร์เป็นเวลานานๆ
3. ใช้รถทั้งกลางวัน-กลางคืน
4. มีการเพิ่มปริมาณไฟส่องสว่าง และติดเครื่องเสียงเพิ่ม
5. ใช้รถน้อย หรือใช้รถเฉพาะวันหยุด
6. ใช้รถเฉพาะกลางคืนและเปิดไฟส่องสว่างเป็นเวลานานๆ
ข้อควรจำ
1. หมั่นตรวจดูระดับน้ำกลั่นอย่าให้ต่ำกว่าจุด LOWER LEVEL
2. ขันขั้วแบตเตอรี่ให้แน่น เพื่อให้กระแสไฟเดินสะดวก
3. ทำความสะอาดคราบสกปรก ที่ติดตามขั้วแบตเตอรี่ และพื้นผิวให้สะอาด
แหล่งที่มา http://www.navthai.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น